การผลิตรายการโทรทัศน์ ภาพเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่จะนำมาสื่อสารเนื้อหาสาระเพื่อถ่ายทอดจินตนาการ และเหตุการณ์ไปยังผู้ชม เพื่อจะสร้างให้เกิดอารมณ์และบรรยากาศในส่วนที่ช่วยดึงดูดให้ผู้ชมคล้อยตาม เกิดความสนใจพร้อมติดตามอย่างต่อเนื่อง ไม่เบื่อหน่าย
ในการเสนอภาพทางโทรทัศน์ต้องผสมผสานทั้งภาพและเนื้อหา ต้องหาแนวทางในการเสนอภาพ ว่าจะทำอย่างไร จึงส่งผลให้ภาพบอกความหมายและเรื่องราวต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ได้อย่างสมบูรณ์ มีคุณค่าทางภาษาของภาพตรงกับวัตถุประสงค์
ในการเสนอภาพทางโทรทัศน์ต้องผสมผสานทั้งภาพและเนื้อหา ต้องหาแนวทางในการเสนอภาพ ว่าจะทำอย่างไร จึงส่งผลให้ภาพบอกความหมายและเรื่องราวต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ได้อย่างสมบูรณ์ มีคุณค่าทางภาษาของภาพตรงกับวัตถุประสงค์
ข้อควรคำนึงถึงในการเสนอภาพทางโทรทัศน์ ได้แก่
- การสื่อความหมายด้วยภาพ
- ขนาดของภาพ
- มุมกล้อง
- การเคลื่อนไหวของกล้อง
- การจัดองค์ประกอบของภาพ
ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
- การสื่อความหมายด้วยภาพ
ประสงค์ เพื่อสื่อความหมายออกมาให้เป็นภาพได้อย่างครบถ้วน นับว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร ภาพทุกช่วงที่ปรากฏบนจอนอกจากจะสื่อความหมายให้เข้าใจ ยังจะต้องสร้างเสริมองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อสร้างบรรยากาศให้เกิดอารมณ์ จินตนาการ และช่วยดึงดูดให้ผู้ชมคล้อยตาม สนใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นสื่อที่ดีที่สุดไปยังผู้ชม
ดังนั้น การถ่ายภาพเคลื่อนไหวโดยวิธีใดก็ตามจะต้องมีหลักเกณฑ์ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซึ่งสามารถจำแนกได้ ดังนี้
1.1 บทบาทของผู้ชม (Audience Role) สุทัศน์ บุรีภักดี (2528 : 263) กล่าวว่า ใน ขณะที่ชมรายการโทรทัศน์ ผู้ชมจะมีความรู้สึกต่อภาพที่ได้เห็น บางครั้งเหมือนกับว่าผู้ชมได้เข้าไปพัวพันกับเหตุ
การณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หรือมีอิริยาบทเกิดขึ้นในแบบซ่อนเร้นตามภาพต่าง ๆ กำหนดมา เพื่อให้ผู้ชมมีความรู้สึกหันหน้าตามดูสิ่งนั้น ก้มหรือแหงนหน้ามองดู ความรู้สึกดังกล่าว เรียกว่า บทบาทของผู้ชม ที่ถูกกำหนดด้วยภาพนั่นเอง ซึ่งจะทำให้ผู้ชมเคลิบเคลิ้มติดตามชมอย่างราบรื่น เป็นความชาญฉลาดของผู้กำหนดภาพในการนำเสนอ
1.2 การนำเสนอภาพรูปแบบแทนการได้เห็น (Objective Shot) เป็นลักษณะของการนำเสนอในรูปแบบแทนการได้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของผู้ชม โดยที่ตัวของผู้ชมเองไม่ได้มีส่วนร่วมกับเหตุ
การณ์นั้น ๆ ลักษณะของภาพที่ปรากฏเป็นแต่เพียงการแจ้งหรือบอกให้ผู้ชมได้ทราบว่าเกิดอะไร ที่ไหน เมื่อไร และใครเป็นผู้กระทำ ผู้ชมภาพมีความรู้สึกเหมือนมาสังเกตการณ์เท่านั้นการนำเสนอภาพในรูปแบบนี้เป็นการถ่ายภาพ เพื่อหวังผลเพียงการบันทึกเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่นิยมบันทึกภาพระยะไกล (Long Shot) ระยะปานกลาง (MediumShot) และภายระยะใกล้ (Close-up)
1.3.การนำเสนอภาพ รูปแบบดึงผู้ชมเข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (Subjective Shot) เป็นวิธีการดึงผู้ชมเข้ามาร่วมในเหตุการณ์ของภาพในช่วงนั้น ๆ ตามแต่จะกำหนดให้ โดยใช้กล้องวางในตำแหน่งแทนสายตาของผู้แสดง ทำให้ผู้ชมเข้ามาพัวพันหรืออยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย
1.4 การนำเสนอภาพรูปแบบการรับรู้อย่างใกล้ชิด (Point of View Shot) เป็นการกำหนดวิธีการถ่ายภาพ ซึ่งอยู่ในลักษณะระหว่างแทนการมองเห็นและการดึงผู้ชมเข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์ โดยมากจะใช้กับฉากที่มีผู้แสดงกำลังสนทนากัน กล้องจะถ่ายผ่านไหล่ (Over The Shoulder) ของผู้แสดงคนหนึ่งไปยังหน้าของผู้แสดงอีกคนหนึ่งที่มองมายังทิศทางของผู้แสดงที่ถูกถ่ายผ่านไหล่ ภาพลักษณะนี้จะสร้างให้ผู้ชมเกิดความรู้สึกได้อยู่ใกล้เหตุการณ์
2.ขนาดของภาพ
2.1. Extreme Close-Up (ECU) เป็นการจับภาพ เพื่อจะต้องการจะเน้นภาพให้เห็นรายละเอียดในการแสดงออกของผู้แสดงอย่างเด่นชัด จนสิ่งที่ถ่ายเป็นจุดเด่นเต็มจอโทรทัศน์แต่ ECU นี้จะไม่นิยมใช้กันนัก นอกเสียจากเป็นการแสดงออกที่พิเศษจริง ๆ เนื่องจากควบคุมภาพให้อยู่ในกรอบได้ยาก ผู้แสดงจะต้องอยู่นิ่ง ๆ จึงจะจับภาพได้
2.2 Very Close - Up (VCU) การจัดภาพในลักษณะนี้ ต้องการจะเน้นความสำคัญของภาพ ซึ่งมีโอกาสใช้มากกว่า ECU การใช้กล้องจับภาพขนาดนี้ทำให้ความสำคัญของฉากหมดความสำคัญ อาจ
มองเห็นความบกพร่องบางประการของผู้แสดง เช่น ความไม่เรียบร้อยของการ Make - Up
2.3 Big Close-Up (BCU) เป็นการใช้กล้องจับภาพเต็มหน้า ซึ่งใช้บ่อยครั้งกว่าทั้งสองประการที่กล่าวมา เพราะผู้ชมจะมองเห็นรายละเอียดสำหรับใบหน้าคนพอสมควร ซึ่งสามารถมองเห็นความรู้สึกบนใบหน้าได้
2.4 Close-Up (CU) หมายถึง การจับภาพตั้งแต่ไหล่ขึ้นไปจนถึงศีรษะ ภาพลักษณะนี้ผู้ชมจะเห็นรายละเอียดส่วนหน้าพอสมควรแต่มีความชัดลึกน้อย ภาพด้านหลังจึงดูไม่ชัดเจน ภาพลักษณะนี้จะมุ่งเฉพาะการแสดงรายละเอียดของภาพ เพื่อให้ความรู้สึกว่าผู้ชมต้องการอยากดูอะไรบางอย่างใกล้ ๆ
2.5 Medium Close-Up (MCU) หรือเรียกว่า Bust Shot จับภาพตั้งแต่ส่วนอกจนถึงศีรษะและมีที่ว่างตอนบนเล็กน้อย ภาพขนาดนี้ใช้กันมากจนอาจเรียกได้ว่าเป็นภาพปกติ จะเห็นได้จากรายการข่าว การสัมภาษณ์ หรือครูสอนทางโทรทัศน์
2.4 Close-Up (CU) หมายถึง การจับภาพตั้งแต่ไหล่ขึ้นไปจนถึงศีรษะ ภาพลักษณะนี้ผู้ชมจะเห็นรายละเอียดส่วนหน้าพอสมควรแต่มีความชัดลึกน้อย ภาพด้านหลังจึงดูไม่ชัดเจน ภาพลักษณะนี้จะมุ่งเฉพาะการแสดงรายละเอียดของภาพ เพื่อให้ความรู้สึกว่าผู้ชมต้องการอยากดูอะไรบางอย่างใกล้ ๆ
2.5 Medium Close-Up (MCU) หรือเรียกว่า Bust Shot จับภาพตั้งแต่ส่วนอกจนถึงศีรษะและมีที่ว่างตอนบนเล็กน้อย ภาพขนาดนี้ใช้กันมากจนอาจเรียกได้ว่าเป็นภาพปกติ จะเห็นได้จากรายการข่าว การสัมภาษณ์ หรือครูสอนทางโทรทัศน์
2.6 Mid Shot (MS) หรือ Weist Shot จับภาพตั้งแต่เอวขึ้นไป หรือบางส่วนของ Back Ground จะมองเห็นได้ การจับภาพในลักษณะนี้ผู้แสดงจะสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้กว้างขวางขึ้น เพราะมุมภาพกว้างและมีความชัดลึก บางครั้งอาจหมายถึงภาพ Two-Shot ซึ่งเป็นภาพถ่ายคนสองคน
2.7 Knee Shot (KS) เป็นการจับภาพตั้งแต่เข่าขึ้นไป ภาพลักษณะนี้วัตถุที่ถ่ายจะมีขนาดเล็กลง และฉากหลังมีความสำคัญมากขึ้น
2.8 Medium Long Shot (MLS) เป็นภาพที่มองเห็นได้เต็มตัว ใช้มากในการแสดงละคร การเคลื่อนไหวของผู้แสดงเป็นไปได้อย่างมีอิสระ เพราะมุมรับภาพจะกว้างจนเห็นเกือบเต็มทั้งฉาก โอกาสผู้แสดงออกนอกกรอบจึงมีน้อย บางครั้งเรียกว่า Full Shot
2.7 Knee Shot (KS) เป็นการจับภาพตั้งแต่เข่าขึ้นไป ภาพลักษณะนี้วัตถุที่ถ่ายจะมีขนาดเล็กลง และฉากหลังมีความสำคัญมากขึ้น
2.8 Medium Long Shot (MLS) เป็นภาพที่มองเห็นได้เต็มตัว ใช้มากในการแสดงละคร การเคลื่อนไหวของผู้แสดงเป็นไปได้อย่างมีอิสระ เพราะมุมรับภาพจะกว้างจนเห็นเกือบเต็มทั้งฉาก โอกาสผู้แสดงออกนอกกรอบจึงมีน้อย บางครั้งเรียกว่า Full Shot
2.9 Long Shot (LS) เป็นภาพที่สามารถใช้แสดงส่วนประกอบของฉากได้อย่างเต็มที่ เพื่อจะสร้าง Concept ให้แก่ผู้ชมตอนเริ่มรายการ ซึ่งเรียกว่า First Shot จึงเปลี่ยนไปเป็น Shot อื่น ๆ
2.10.Extreme Long Shot (ELS) ภาพลักษณะนี้เพื่อต้องการให้เห็นความกว้างใหญ่ไพศาล เช่น ภาพทิวทัศน์ หุบเขา หรือท้องทุ่ง เพื่อนำมาใช้บอกสภาพของสถานที่ บรรยากาศ และสภาพทั่ว ๆ ไป ก่อนนำเข้าสู่ส่วนปลีกย่อย
3. มุมกล้อง
2.10.Extreme Long Shot (ELS) ภาพลักษณะนี้เพื่อต้องการให้เห็นความกว้างใหญ่ไพศาล เช่น ภาพทิวทัศน์ หุบเขา หรือท้องทุ่ง เพื่อนำมาใช้บอกสภาพของสถานที่ บรรยากาศ และสภาพทั่ว ๆ ไป ก่อนนำเข้าสู่ส่วนปลีกย่อย
3. มุมกล้อง
3.1 ภาพมุมปกติ (Normal angle shot) คือการตั้งกล้องระดับเดียวกับสิ่งที่ถ่ายหรือระดับสายตาของผู้แสดง สื่อความหมายถึงความเรียบง่าย คุ้นเคย ใช้กับภาพทั่วๆไปเป็นมุมกล้องที่ใช้มากที่สุด ภาพอยู่ในระดับสายตาหรือบางทีเรียกภาพมุมระดับสายตา
3.2 ภาพมุมต่ำ( Low angle shot) คือการตั้งกล้องระดับต่ำกว่าวัตถุหรือต่ำกว่าสิ่งที่ถ่าย หรือต่ำกว่าระดับสายตาของผู้แสดง สื่อความหมายถึงพลัง อำนาจความเข้มเเข็ง
3.3 ภาพมุมสูง (high angle shot) คือการตั้งกล้องระดับสูงกว่าวัตถุหรือสุงกว่าสิ่งที่ถ่าย สื่อความหมายตรงข้ามกับภาพมุมต่ำ คือ ไร้พลัง ไร้อำนาจ อ่อนแอ ต่ำต้อย
3.3 ภาพมุมสูง (high angle shot) คือการตั้งกล้องระดับสูงกว่าวัตถุหรือสุงกว่าสิ่งที่ถ่าย สื่อความหมายตรงข้ามกับภาพมุมต่ำ คือ ไร้พลัง ไร้อำนาจ อ่อนแอ ต่ำต้อย
3.4 มุมวัตถุ (Objective )คือมุมของผู้ดู เป็นมุมภาพทั่วๆ ไปเหมือนภาพมุมปกติแทนสายตาของผู้ชมที่เป็นผู้สังเกตการณ์ ไม่มีส่วนร่วม เช่น ผู้ชมมองเห็นวัตถุ สถานที่ หรือมองเห็นตัวแสดงคุยกันเอง
3.5 มุมแทนความรู้สึกผู้แสดง ตรงข้ามกับมุมวัตถุ(Subjective) คือ ภาพมุมมองของ ตัวแสดง เช่น ตำรวจเล็งปืนสอดส่ายตามองหาผู้ร้ายที่หลบอยู่ในลานจอดรถ จะเป็นภาพแทนสายตาของตัวแสดง คือภาพรถกวาดไปทีละคัน
การกำหนดการเคลื่อนไหวที่เกิดจากการทำงานของกล้องถ่ายโทรทัศน์ นับได้ว่าเป็นการ
เปลี่ยนแปลงตำแหน่งของกล้องไปพร้อมกับการบันทึกภาพ และจะมีผลทำให้ภาพเปลี่ยนแปลง
ลักษณะภาพ รูปแบบ และเนื้อหาของการนำเสนอภาพไปด้วยการเคลื่อนไหวกล้องที่มีเหตุผล และมีความเชี่ยวชาญจะเป็นส่วนช่วยเสริมภาษาของภาพและผู้ชมเกิดบทบาทร่วมที่เป็นจริงมากขึ้นกับการนำเสนอภาพในช่วงนั้นการเคลื่อนไหวกล้อง
มีหลักการขั้นพื้นฐานที่นำมาใช้ในการถ่ายภาพ 4 ประการ คือ
การแพน เป็นวิธีการเคลื่อนที่กล้องถ่ายในลักษณะการส่ายกล้องเคลื่อนที่ไปในแนวนอนหรือแนวราบ (Herizontal) อาจเริ่มจากซ้ายไปขวา หรือจากขวาไปซ้ายก็ได้ วัตถุประสงค์ของการแพนกล้องอาจเกิดขึ้นได้จากวัตถุประสงค์ของการนำเสนอหลายประการ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์หรือเกิดเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ถ่ายสองสิ่งอยู่ห่างกัน หรือพื้นที่ของการถ่ายที่แยกอยู่ห่างกัน ซึ่งผู้ถ่ายภาพได้พิจารณาแล้วว่า ถ้าหากใช้วิธีการตัดภาพ (Cutting)
การแพน เป็นวิธีการเคลื่อนที่กล้องถ่ายในลักษณะการส่ายกล้องเคลื่อนที่ไปในแนวนอนหรือแนวราบ (Herizontal) อาจเริ่มจากซ้ายไปขวา หรือจากขวาไปซ้ายก็ได้ วัตถุประสงค์ของการแพนกล้องอาจเกิดขึ้นได้จากวัตถุประสงค์ของการนำเสนอหลายประการ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์หรือเกิดเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ถ่ายสองสิ่งอยู่ห่างกัน หรือพื้นที่ของการถ่ายที่แยกอยู่ห่างกัน ซึ่งผู้ถ่ายภาพได้พิจารณาแล้วว่า ถ้าหากใช้วิธีการตัดภาพ (Cutting)
การซูม สามารถสามารถเปลี่ยนขนาดภาพขณะกำลังบันทึกภาพโดยไม่ต้องเคลื่อนไหว
กล้องหรือเปลี่ยนตำแหน่งการตั้งกล้อง ลักษณะการเปลี่ยนขนาดภาพถ้าเปลี่ยนจากภาพขนาดมุม
กว้างมาเป็นมุมแคบจะเรียกว่า Zoon in ถ้าตรงข้ามกันจะเรียกว่า Zoom out ผลที่เกิดในความ
รู้สึกของผู้ชม คือ จะรู้สึกว่าสิ่งที่ถ่ายถูกดึงเข้ามาใกล้ตัวหรือถอยห่างออกไป เกิดการเคลื่อนไหว
ขึ้นในภาพ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงขนาดของภาพอย่างต่อเนื่อง
การทิลท์ (Tilting) เป็นการเคลื่อนไหวกล้องอีกลักษณะหนึ่ง เช่นเดียวกันกับการแพนแต่เป็นการแพนโดยวิธีการเคลื่อนกล้องในแนวดิ่ง วิธีการถ่ายภาพในแบบการทิลท์กล้องถ่ายยังคงรักษาระดับตำแหน่งความสูง - ต่ำ คงที่จะเปลี่ยนแปลงไปก็แต่เพียงมุมการบันทึกภาพเท่านั้น ที่ถูกขยับไปในองศาที่สูงขึ้นกว่าเดิม หรือองศาถูกกดต่ำกว่าเดิม ซึ่งกระทำได้โดยการกระดกกล้องถ่ายภาพขึ้นหรือค่อย ๆ กดกล้องให้มุมรับภาพลงต่ำในระหว่าการถ่ายทำถ้าหากในขณะที่ทำการถ่ายภาพผู้ถ่ายกระดกกล้องถ่ายภาพให้สูงขึ้นกว่าระดับเดิมจะโดยเหตุผลของการนำเสนอภาพเพื่อผลในการใดก็ตามดังที่กล่าวมาแล้วเรียกกันว่า ทิลท์-อัพ(Tilt-up) และในทางกลับกัน ถ้าหากกดกล้องให้มุมรับภาพค่อย ๆ เปลี่ยนในทิศทางที่ต่ำลงกว่าเดิม เรียกว่า ทิลท์-ดาวน์(Tilt Down)
การดอลลี่ (Dollying) เป็นวิธีการเคลื่อนไหวกล้องในรูปแบบการตั้งอยู่บนพาหนะที่มีล้อซึ่งเคลื่อนไปมาบนพื้น หรือเลื่อนไปตามราง ทำให้สามารถเคลื่อนที่ตามภาพเหตุการณ์ได้ในมุมมองต่าง ๆ กัน เหมาะสำหรับการบันทึกภาพอย่างต่อเนื่องเป็นช๊อตยาวดอลลี่จะมีลักษณะการเคลื่อนกล้องเข้าหาสิ่งที่ถ่าย เรียกว่า ดอลลี่อิน(Dolly in) และถ้าเคลื่อนกล้องถอยห่างจากสิ่งที่ถ่าย เรียกว่า Dolly out
การทรักต์ (Trucking or Tracking) เป็นการเคลื่อนไหวของกล้องในลักษณะและวิธีการเคลื่อนไหวในรูปแบบคล้ายกับดอลลี่ แตกต่างกันในเรื่องของการกำหนดทิศทางเท่านั้น ทิศทางของการทรักต์ จะใช้การเคลื่อนกล้องในแนวทางข้างเคียงสิ่งที่ถ่าย ในบางกรณี การเคลื่อนที่ของกล้องอาจไม่เป็นแนวตรงแต่จะเคลื่อนในลักษณะเฉียงโค้ง (Curve Track) ในบางครั้งการนำเสนอภาพในรูปแบบการทรักต์จะใช้การเคลื่อนที่ตามขนานกับสิ่งที่ ถ่ายอาจเป็นระดับการเคลื่อนไหวที่คู่เคียงกันไป หรือตำแหน่งของกล้องล้ำหน้า วัตถุเคลื่อนที ตามนอกจากนี้แล้วยังนำมาใช้เพื่อการเปลี่ยนตำแหน่ง และทิศทางของกล้องเพื่อกำหนดรูปแบบ ของการนำเสนอภาพในแนวทางใหม่ เป็นการหลีกเลี่ยงความซ้ำซากน่าเบื่อหน่ายของสิ่งที่ถ่าย
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.kmutt.ac.th/
การจัดองค์ประกอบของภาพ
4. องค์ประกอบ (Composition) ในการถ่ายภาพ
1. รูปทรง (Form) เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการถ่ายภาพ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ทางสถาปัตยกรรม การถ่ายภาพวัตถุ หรือถ่ายภาพสิ่งต่างๆ เน้นให้เห็นรายละเอียดในลักษณะ 3 มิติ คือ ความกว้าง ความสูง ความลึก โดยให้เห็นทั้งด้านหน้าและด้านข้าง และความลึก
2. รูปร่าง (Shape) เป็นการจัดองค์ประกอบภาพตรงข้ามกับรูปทรง คือเน้นให้เห็นเป็นภาพ 2 มิติ คือ ความกว้างกับความยาว ไม่ให้เห็นรายละเอียดของภาพ หรือที่เรียกว่าภาพเงาดำ ภาพลักษณะนี้ เป็นภาพที่ดูแปลกตา น่าสนใจ ลึกลับ ให้อารมณ์และสร้างจินตนาการ ในการในการดูภาพได้ดี นิยมถ่ายภาพในลักษณะย้อนแสง ข้อควรระวังในการถ่ายภาพลักษณะนี้คือ วัตถุที่ถ่ายต้องมีความเรียบง่าย เด่นชัด สื่อความหมาย ได้ชัดเจน ฉากหลังต้องไม่มารบกวนทำให้ภาพนั้นหมดความงามไป
3. รูปแบบ (Pattern) เป็นการจัดภาพที่มีรูปร่าง ลักษณะที่คล้าย ๆ กันวางเป็นกลุ่ม เพื่อเน้นรูปแบบซ้ำซ้อน ทำให้ภาพดูสนุก สดชื่น และมีเสน่ห์แปลกตา
4. พื้นผิว (Texture) ลักษณะพื้นผิวของวัตถุมีอยู่มากมายหลายชนิด ให้ความรู้สึกสวยงามและเร้าอารมณ์ได้ต่างกัน เช่น ผิวของแก้ว ผิวของพื้นทราย ผิวของลายไม้ ผิวรอยเหี่ยวย่นของใบหน้า เป็นต้น การรู้จักเลือกลักษณะพื้นผิวประกอบในภาพให้เหมาะสม เช่น การจัดวัตถุผิวเรียบบนพื้นผิวที่ขรุขระ จะทำให้ภาพมีลักษณะที่ตัดกันมองเห็นวัตถุที่ผิวเรียบได้เด่นชัดขึ้น
5. ความสมดุลแบบปกติ (Formal Balance) เป็นการจัดองค์ประกอบภาพเพื่อให้ภาพดูนิ่ง สง่างาม น่าศรัทธา คล้ายกับแบบเน้นด้วยรูปทรง แต่จะแสดงออกถึงความสมดุลย์ นิ่ง ปลอดภัย ภาพลักษณะนี้อาจจะดูธรรมดา ไม่สะดุดตาเท่าใดนัก แต่ก็มีเสน่ห์และความงามในตัว
6. ความสมดุลแบบไม่ปกติ (Informal Balance) การจัดภาพแบบนี้ จะให้ความรู้สึกที่สมดุลย์เช่นเดียวกับแบบที่แล้ว แต่จะต่างกันอยู่ที่ วัตถุทั้งสองข้าง มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกัน แต่จะสมดุลย์ได้ด้วยปัจจัยต่าง ๆ กัน เช่น สี รูปทรง ท่าทาง ฉากหน้า ฉากหลัง ฯลฯ ภาพดูน่าสนใจและแปลกตากว่าแบบสมดุลย์ที่เท่ากัน แต่ความรู้สึกที่มั่นคงจะ น้อยกว่า
7. กรอบ (Frame) แม้ว่าภาพถ่ายจะสามารถนำมาประดับ ตกแต่งด้วยกรอบภาพอยู่แล้ว แต่การจัดให้ฉากหน้าหรือส่วนประกอบอื่นล้อมกรอบจุดเด่น เพื่อลดพื้นที่ว่าง หรือทำให้สายตาพุ่งสู่จุดสนใจนั้น ทำให้ภาพกระชับ น่าสนใจ
8. ช่องว่าง (Space) เป็นการจัดพื้นที่ตำแหน่งของจุดสนใจในภาพให้มีความเหมาะสม เช่น แบบหันหน้าไปทางใดหรือเคลื่อนที่ไปทางใดก็ควรเว้นช่องว่างทางด้านนั้นให้มากกว่าอีกด้าน ซึ่งหากจัดไม่เหมาะสมจะทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด แคบ เกิดขึ้นกับภาพได้
9. กฎสามส่วน (Rule of Thirds) เป็นการจัดภาพที่นิยมมากที่สุด ภาพดูมีชีวิตชีวา ไม่จืดชืด การจัดภาพโดยใช้เส้นตรง 4 เส้นตัดกันในแนวตั้งและแนวนอน จะเกิดจุดตัด4 จุด หรือแบ่งเป็น 3 ส่วน ทั้งแนวตั้งและแนวนอน การวางจุดสนใจของภาพจะเลือกวางใกล้ ๆ หรือ ตรงจุด 4 จุดนี้ จุดใดจุด หนึ่ง โดยหันหน้าของวัตถุไปในทิศทางที่มีพื้นที่ว่างมากกว่า ทำให้ภาพดูเด่น ไม่อึดอัด ไม่แน่น หรือหลวมจนเกินไป นักถ่ายภาพทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่นนิยมจัดภาพแบบนี้มาก
10. น้ำหนักสี (Tone) วัตถุสิ่งของต่างๆ ในธรรมชาติจะมีน้ำหนักสี ค่าความเข้ม สว่าง ต่างๆ กัน ช่วยให้เกิดลักษณะความลึกของภาพ เช่น ทิวเขาที่สลับซับซ้อนกัน ที่อยู่ใกล้จะมีสีเข้ม ที่อยู่ไกลจะมีสีอ่อนลักษณะของภาพส่วนใหญ่ที่มีสีสว่างสดใส เรียกว่าภาพ High Key ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน นุ่มนวล ส่วนลักษณะของภาพส่วนใหญ่ที่มีสีเข้ม มีเงามืด เรียกว่าภาพ Low Key ให้ความรู้สึกเข้มแข็ง ลึกลับ
11. ฉากหน้า ฉากหลัง (Foreground and Background)
· ฉากหน้า ส่วนใหญ่จะใช้ในการถ่ายภาพทิวทัศน์ หรือภาพอื่น ๆ ใช้ฉากหน้าเป็นตัวช่วยให้เกิดระยะ ใกล้ กลาง ไกล หรือมีมิติขึ้น ทำให้ภาพน่าสนใจอาจใช้กิ่งไม้ วัตถุ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับกล้องเพื่อช่วยเน้นให้จุดสนใจที่ต้องการเน้น มีความเด่นยิ่งขึ้น และไม่ให้ภาพมีช่องว่างเกินไป ข้อควรระวังคืออย่าให้ฉากหน้าเด่นจนแย่งความสนใจจากสิ่งที่ต้องการเน้น จะทำให้ภาพลดความงามลง
· ฉากหลัง พื้นหลังของภาพก็มีความสำคัญ หากเลือกที่น่าสนใจ กลมกลืน หรือช่วยให้สิ่งที่ต้องการ เน้นเด่นขึ้นมา ควรเลือกฉากหลังที่กลมกลืน ไม่ทำให้จุดเด่นของภาพด้อยลง หรือมารบกวนทำให้ภาพนั้นขาดความงามไป
12. เส้น (Line) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในการจัดองค์ประกอบของภาพ สามารถบอกลักษณะโครงสร้างของภาพ เป็นตัวนำไปสู่จุดเด่น หรือจุดสนใจของภาพถ่าย เชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆ ในภาพ ให้ความรู้สึกต่างๆ เช่น มั่นคง นิ่งสงบ เคลื่อนไหว อ่อนช้อย เป็นต้น
13. ความลึก (Perspective) เป็นการใช้เส้นให้นำสายตาไปสู่จุดสนใจ เป็นการจัดภาพที่ใช้เส้นที่เกิดจากวัตถุ หรือสิ่ง อื่น ๆ ที่มีรูปร่างลักษณะใกล้เคียงกัน เรียงตัวกันเป็นทิศทางไปยังวัตถุที่เป็นจุดสนใจ ช่วยให้วัตถุที่ต้องการเน้นมีความ เด่นชัด และน่าสนใจยิ่งขึ้น
4. พื้นผิว (Texture) ลักษณะพื้นผิวของวัตถุมีอยู่มากมายหลายชนิด ให้ความรู้สึกสวยงามและเร้าอารมณ์ได้ต่างกัน เช่น ผิวของแก้ว ผิวของพื้นทราย ผิวของลายไม้ ผิวรอยเหี่ยวย่นของใบหน้า เป็นต้น การรู้จักเลือกลักษณะพื้นผิวประกอบในภาพให้เหมาะสม เช่น การจัดวัตถุผิวเรียบบนพื้นผิวที่ขรุขระ จะทำให้ภาพมีลักษณะที่ตัดกันมองเห็นวัตถุที่ผิวเรียบได้เด่นชัดขึ้น
5. ความสมดุลแบบปกติ (Formal Balance) เป็นการจัดองค์ประกอบภาพเพื่อให้ภาพดูนิ่ง สง่างาม น่าศรัทธา คล้ายกับแบบเน้นด้วยรูปทรง แต่จะแสดงออกถึงความสมดุลย์ นิ่ง ปลอดภัย ภาพลักษณะนี้อาจจะดูธรรมดา ไม่สะดุดตาเท่าใดนัก แต่ก็มีเสน่ห์และความงามในตัว
6. ความสมดุลแบบไม่ปกติ (Informal Balance) การจัดภาพแบบนี้ จะให้ความรู้สึกที่สมดุลย์เช่นเดียวกับแบบที่แล้ว แต่จะต่างกันอยู่ที่ วัตถุทั้งสองข้าง มีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกัน แต่จะสมดุลย์ได้ด้วยปัจจัยต่าง ๆ กัน เช่น สี รูปทรง ท่าทาง ฉากหน้า ฉากหลัง ฯลฯ ภาพดูน่าสนใจและแปลกตากว่าแบบสมดุลย์ที่เท่ากัน แต่ความรู้สึกที่มั่นคงจะ น้อยกว่า
7. กรอบ (Frame) แม้ว่าภาพถ่ายจะสามารถนำมาประดับ ตกแต่งด้วยกรอบภาพอยู่แล้ว แต่การจัดให้ฉากหน้าหรือส่วนประกอบอื่นล้อมกรอบจุดเด่น เพื่อลดพื้นที่ว่าง หรือทำให้สายตาพุ่งสู่จุดสนใจนั้น ทำให้ภาพกระชับ น่าสนใจ
8. ช่องว่าง (Space) เป็นการจัดพื้นที่ตำแหน่งของจุดสนใจในภาพให้มีความเหมาะสม เช่น แบบหันหน้าไปทางใดหรือเคลื่อนที่ไปทางใดก็ควรเว้นช่องว่างทางด้านนั้นให้มากกว่าอีกด้าน ซึ่งหากจัดไม่เหมาะสมจะทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด แคบ เกิดขึ้นกับภาพได้
9. กฎสามส่วน (Rule of Thirds) เป็นการจัดภาพที่นิยมมากที่สุด ภาพดูมีชีวิตชีวา ไม่จืดชืด การจัดภาพโดยใช้เส้นตรง 4 เส้นตัดกันในแนวตั้งและแนวนอน จะเกิดจุดตัด4 จุด หรือแบ่งเป็น 3 ส่วน ทั้งแนวตั้งและแนวนอน การวางจุดสนใจของภาพจะเลือกวางใกล้ ๆ หรือ ตรงจุด 4 จุดนี้ จุดใดจุด หนึ่ง โดยหันหน้าของวัตถุไปในทิศทางที่มีพื้นที่ว่างมากกว่า ทำให้ภาพดูเด่น ไม่อึดอัด ไม่แน่น หรือหลวมจนเกินไป นักถ่ายภาพทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่นนิยมจัดภาพแบบนี้มาก
10. น้ำหนักสี (Tone) วัตถุสิ่งของต่างๆ ในธรรมชาติจะมีน้ำหนักสี ค่าความเข้ม สว่าง ต่างๆ กัน ช่วยให้เกิดลักษณะความลึกของภาพ เช่น ทิวเขาที่สลับซับซ้อนกัน ที่อยู่ใกล้จะมีสีเข้ม ที่อยู่ไกลจะมีสีอ่อนลักษณะของภาพส่วนใหญ่ที่มีสีสว่างสดใส เรียกว่าภาพ High Key ให้ความรู้สึกอ่อนหวาน นุ่มนวล ส่วนลักษณะของภาพส่วนใหญ่ที่มีสีเข้ม มีเงามืด เรียกว่าภาพ Low Key ให้ความรู้สึกเข้มแข็ง ลึกลับ
11. ฉากหน้า ฉากหลัง (Foreground and Background)
· ฉากหน้า ส่วนใหญ่จะใช้ในการถ่ายภาพทิวทัศน์ หรือภาพอื่น ๆ ใช้ฉากหน้าเป็นตัวช่วยให้เกิดระยะ ใกล้ กลาง ไกล หรือมีมิติขึ้น ทำให้ภาพน่าสนใจอาจใช้กิ่งไม้ วัตถุ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับกล้องเพื่อช่วยเน้นให้จุดสนใจที่ต้องการเน้น มีความเด่นยิ่งขึ้น และไม่ให้ภาพมีช่องว่างเกินไป ข้อควรระวังคืออย่าให้ฉากหน้าเด่นจนแย่งความสนใจจากสิ่งที่ต้องการเน้น จะทำให้ภาพลดความงามลง
· ฉากหลัง พื้นหลังของภาพก็มีความสำคัญ หากเลือกที่น่าสนใจ กลมกลืน หรือช่วยให้สิ่งที่ต้องการ เน้นเด่นขึ้นมา ควรเลือกฉากหลังที่กลมกลืน ไม่ทำให้จุดเด่นของภาพด้อยลง หรือมารบกวนทำให้ภาพนั้นขาดความงามไป
12. เส้น (Line) เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งในการจัดองค์ประกอบของภาพ สามารถบอกลักษณะโครงสร้างของภาพ เป็นตัวนำไปสู่จุดเด่น หรือจุดสนใจของภาพถ่าย เชื่อมโยงองค์ประกอบต่างๆ ในภาพ ให้ความรู้สึกต่างๆ เช่น มั่นคง นิ่งสงบ เคลื่อนไหว อ่อนช้อย เป็นต้น
13. ความลึก (Perspective) เป็นการใช้เส้นให้นำสายตาไปสู่จุดสนใจ เป็นการจัดภาพที่ใช้เส้นที่เกิดจากวัตถุ หรือสิ่ง อื่น ๆ ที่มีรูปร่างลักษณะใกล้เคียงกัน เรียงตัวกันเป็นทิศทางไปยังวัตถุที่เป็นจุดสนใจ ช่วยให้วัตถุที่ต้องการเน้นมีความ เด่นชัด และน่าสนใจยิ่งขึ้น
หรือโหลดเป็นไฟล์ pdf http://www.cdoae.doae.go.th/54/infor/fik/jad-pap.pdf